4.วิถีชีวิตวิถีชีวิตคนลุ่มแม่น้ำมูล

แม่น้ำมูลมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาตอนใต้ของจังหวัดนครราชสีมา ไหลผ่านอำเภอเมือง อำเภอพิมาย อำเภอชุมพวง (จังหวัดนครราชสีมา), อำเภอสตึก อำเภอลำปลายมาศ (จังหวัดบุรีรัมย์), อำเภอท่าตูม อำเภอรัตนบุรี (จังหวัดสุรินทร์), อำเภอราษีไศล อำเภอเมือง และ อำเภอกันทรารมย์ (จังหวัดศรีสะเกษ) บรรจบกับกับแม่น้ำชีบริเวณบ้านขอนไม้ยูง อำเภอวารินชำราบ (จังหวัดอุบลราชธานี) แล้วไหลผ่านอำเภอเมืองอุบลราชธานี อำเภอพิบูลมังสาหาร และไหลลงแม่น้ำโขงที่อำเภอโขงเจียม (จังหวัดอุบลราชธานี) มีความยาวทั้งหมดประมาณ 726 กิโลเมตร ลำน้ำสาขาที่สำคัญ ได้แก่ ลำตะคอง ลำพระเพลิง ลำเชียงไกร ลำปลายมาศ ลำโดมใหญ่ ลำโดมน้อย ลำน้ำเสียว ลำเซบาย และลำมูลน้อย เป็นต้น ซึ่งใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรเป็นส่วนใหญ่
สองฝั่งเป็นที่ราบน้ำท่วมถึงลุ่มน้ำมูลมีพื้นที่ลุ่มน้ำ 71,061 ตร.กม. หรือคิดเป็นร้อยละ 13.6 ของพื้นที่ลุ่มน้ำทั้งประเทศครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและบางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ปริมาณน้ำไหลลงสู่แม่น้ำโขงเฉลี่ยประมาณ 26,655 ล้าน ลูกบาศก์เมตรปี

สายน้ำที่ล่อเลี้ยง ดินแดนอีสาน ให้มีชีวิต อุดมสมบูรณ์ มาตั้งแต่บรรพกาล รุ่นแล้วรุ่นเล่า จนถึงปัจจุบัน ยังเป็น แหล่ง ทำมาหากิน ของคนท้องถิ่น ที่ไม่มีวัน หมดสิ้น

        แม่น้ำมูล หรือแม่มูล เป็นแม่น้ำสายชีวิตของชาวอีสาน ที่ยาวที่สุดของไทย โดยมีต้นกำเนิดที่นครราชสีมา ครอบคลุมพื้นที่ภาคอีสาน กว่า ๑๐ จังหวัด แม่มูลจะไหลสู่แม่โขง


        แม่มูลจึงเป็นแหล่งเลี้ยงชีพชาวอีสาน ในการทำมาหากิน ทั้งการเกษตรการประปา  ฯลฯ นอกจากนี้ยังเป็นบ่อเกิดแห่งประเพณีที่ดีงาม สนุกสนาน คือประเพณีแข่งเรือ แต่ผู้เขียนไม่ค่อยชอบ เพราะร้อน ช้า กว่าจะแข่งแต่ละครั้ง



     













   ใช้อวนล้อมให้รอบ เก็บกิ่งไม้                 ต้อนปลาให้รวมกัน

        วิถีชีวิตของชาวบ้านที่ มีหลักแหล่ง ใกล้ฝั่งแม่มูล โดยมากจะหาปลา เลี้ยงชีพ ด้วยวิธี ต่าง ๆ เช่นการจับปลากล่ำ เบ็ดราว  เบ็ดตกปลา เดี๋ยวนี้มีเบ็ดฝรั่ง ให้ความสะดวก มีรอกชัก แห อวน  ดักข่าย (มอง) ยกยอ ฯลฯ พวกนี้ต้องลงทุนซื้อ อุปกรณ์ แต่การจับโดยการทำกล่ำ ไม่ต้องลงทุน ให้มาก จึงเป็นวิธีที่นิยม ในท้องถิ่น


                                   ช่วยออกแรงดึง ฟดไม้ขึ้นฝั่ง

        กล่ำ เป็นวิธีการจับปลาแบบหนึ่งที่ชาวบ้านนิยมทำกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของ ปู่ ย่า ตา ยาย มาเมื่อครั้ง อดีตกาล สั่งสมสืบทอดมา ไม่มีสูญสิ้น ตราบใดที่แม่มูล ไม่เหือดแห้งไปจากโลกนี้ เพราะกล่ำเป็นวืธีการ ที่ไม่ต้องลงทุน ให้มาก จึงเป็นที่นิยม กว่าวิธีอื่น ๆ เท่าที่พบเห็น

                                ช่วยกันเลือกปลา

        การทำกล่ำ จะเริ่มจากเลือก ชายฝั่งที่ไม่ลาดชันมากนัก ตัดกิ่งไม้  มากองสุมรวมกัน ให้มากพอสมควร แล้วโยน ลงน้ำมลบริเวณริมฝั่งที่ เลือกไว้ บางท้องที่ จะมัด เป็นกอง ๆ เรียกว่า ฟดไม้ แต่ส่วนมาก จะไม่มัดให้เสียเวลา จะเริ่มทำกันช่วงก่อนการทำนาปลูกข้าว หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จ เป็นช่วงที่น้ำลด ถึงจะจับกล่ำกัน แต่ถ้าจับช่วงที่น้ำมาก น้ำหลาก จะไม่ได้ปลามากนัก เพราะปลาจะไปตามน้ำ และไปหลบอาศัย ตามพุ่มไม้ที่น้ำท่วมถึง จะไม่ไปอาศัย ตาม ฟดไม้ ที่ตัดไว้เพื่อล่อให้ปลาเข้าไปอาศัยอยู่ ในน่านน้ำไม่มีใครเป็นเจ้าของเพียงแต่ไป เลือกที่ทำ ก็ให้รู้ว่าเป็น ของใคร ชาวบ้านจะไม่ละเมิดซึ่งกันและกัน      

        เมื่อถึงเวลาจับ จะนัดญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท ไปจับปลากล่ำ โดยมากแล้วมักจะเป็นช่วงปิดภาคเรียน ช่วงเมษายน-พฤษภาคม  หรือ พฤศจิกายน-ธันวาคม เป็นการรวมญาติ ลูกหลานปิดเรียน และพักผ่อนหย่อนใจ เป็นการไป ปิกนิค ชาวบ้านเรียกไป “กินข้าวป่า”

        อุปกรณ์ จะมีอวน แห ที่มีอยู่แล้ว นำไปปักหลักล้อม บริเวณกล่ำ ให้รอบ ๆ และพยายามอย่าให้ ตีนอวน ลอยน้ำ จากนั้นจะเริ่มช่วยกัน เก็บ กิ่งไม้ ฟด ยกออกจาก บริเวณกล่ำ  เวลาลงกิ่งไม้จะง่าย แต่เวลา จับกล่ำจะไม่ง่าย ต้องใช้แรงคนมากพอสมควร ถ้าเป็นกองใหญ่จะหนัก และต้องดึงขึ้นฝั่ง ที่สูง ๆ ดังนั้นจึงใช้เชือกมะนิลา เส้นใหญ่ ๆ มัดช่วยกันดึง ลากโดยคนที่อยู่บนฝัง ๔-๕ คน ทั้งผู้หญิง-ผู้ชาย ขณะเดียวกัน พวกที่อยู่ในน้ำก็จะ ขยับอวน เข้าไปหาฝั่งเรื่อย ๆ เป็นการต้อนปลาให้ไปรวมอยู่ที่เดียวกัน ขณะที่ต้อนปลา สามรถจับปลาได้ด้วย บางตัวก็กระโดด ถ้ากล่ำใดที่ปลาชุม จะน่าดูมาก กระโดดสลับกันไปมา เป็นสีเงินวับๆ ปลาที่ได้ช่วงนี้ แม่บ้านก็จะนำไป ทำอาหารก่อน ใต้ร่มไม้ บริเวณใกล้ ๆ พวกที่อยู่ในน้ำก็จะทำต่อ โดย ต้อนปลาไปรวมที่ฝั่งเสร็จ จะเอาอวนที่ลาก ห่อปลา โดยห่อจากตีนอวน ที่ขยับไปเรื่อย ๆกลับไปที่ด้านบนอวนมัดให้แน่นกันหลุด  แล้วจึงลากไปที่ท่าน้ำที่ไม่ชัน จากนั้นจึง เลือกจับปลา ซึ่งจะมีทั้งเศษใบไม้ ที่ร่วงจากกิ่งที่ตัดแช่ไว้ นำปลาไปล้างโคลน ตม ใบไม้ออกเป็นเสร็จ พวกที่ไม่ได้เก็บปลาก็จะ โยนไม้จากฝั่งลงที่เดิมเพื่อให้ปลาอาศัยในการจับครั้งต่อไป   

อุปกรณ์ แบบลูกทุ่ง ๆ เรียบง่าย สัญลักษณ์ "ลูกอีสาน"

        ถึงเวลาร่วมวง อาหารที่แม่บ้านเตรียมไว้ก็จะมี ทั้งต้ม แกง ย่าง เผา ที่ขาดไม่ได้ คือ ก้อย โดยทำจากปลาสด ๆ ทั้งนั้น ส่วนมากนิยมปลาขาว ปลาตะเพียน ฟัก(สับ) ใส่มดแดง หาง่าย บนต้นไม้บริเวณนั้น 

       ปลาป้ิงร้อน                   ก้อยปลาขาว               ต้มปลามดแดง

        ถึงจะไปกินปลา กินข้าวป่า แต่คนอีสานขาดไม่ได้คือส้มตำ กับปลาปิ้ง ปลาเผา อร่อยมากครับ สัญลักษณ์ของคนอีสาน ไปที่ไหน ก็จะนำอุปกรณ์ การทำส้มตำไปทุกที่ โดยเฉพาะการไปทัศนาจร พอรถจอดจะได้ยินเสียง เสือ (เสือกระบาก) กระทบกับครก ดั่งสนั่น นั่นแหละครับสัญลักษณ์ ลูกอีสาน ของแท้


    

  ถึงเวลาร่วมวง หลังอ่อนแรง   

       เมื่ออิ่มหน่ำสำราญจึง กลับบ้าน แต่ยังไม่แยกยายกัน เพียงเท่านั้น หากยังไม่เย็นนักก็จะ นั่งร่วมวง กันต่อ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ถือเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามสืบทอดมา คือ จะแบ่งปลาที่หามาได้ แจกญาติ เพื่อนที่มา ไปกินที่บ้านอีกเท่า ๆ กันแล้วแต่ได้มากได้น้อยจากกล่ำ  ที่เหลือเจ้าของเก็บไว้ ทำปลาร้า ปลาส้ม ปล้าย่าง ปลาแดดเดียว

        การจับปลากล่ำ จึงเป็นวัฒนธรรม ของชาวบ้านที่มีที่อยู่อาศัยใกล้ ๆ แม่มูล สืบทอดกันมา จนปัจจุบัน และจะสืบทอดกันไปไม่มีสูญหายไปจาก วิถีชีวิตลุ่มน้ำมูล...สวัสดีครับ

แหล่งที่มา http://www.gotoknow.org/posts/495261

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น